การแทรกสอดของแสง (Interference)
การ แทรกสอดของแสง (Interference)
เกิดได้ต่อเมื่อคลื่นแสง 2 ขบวนเคลื่อนที่มาพบกัน
จะเกิดการรวมตัวกันและแทรกสอดกันเกิดเป็นแถบมืดและแถบสว่างบนฉาก
โดยแหล่งกำเนิดแสงจะต้องเป็นแหล่งกำเนิดอาพันธ์ (Coherent Source) คือเป็นแหล่งกำเนิดที่ให้คลื่นแสงความถี่เดียวกัน และความยาวคลื่นเท่ากัน
นักวิทยาศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จในการทดลองเพื่อทดสอบทฤษฎี คือ โทมัส ยัง
นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEicQ_-1CeAFc_utSVDgAggviXgsieCjp_ManecaEAssn3xNcWLMXSKOofHWXaUV-Zc1df4d-K3-ta30YwAMqgNZdfyW7gdLJfhjyjTlImCicQh898IdBJCk8CHUf_xNfqIpEoO1WJIVxEdI/s1600/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E1.jpg)
โทมัส
ยัง (Thomas Young - 14 มิถุนายน พ.ศ. 2316 – 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2372) เป็นนักวิทยาศาสตร์และแพทย์ ชาวอังกฤษ
ที่มา : http://en.wikipedia.org/wiki/Thomas_Young_%28scientist%29
การทดลองเรื่องการแทรกสอดของแสง
ทำได้โดย ให้แสงผ่านช่องแคบ (Slit) So แล้วเลี้ยวเบนตกกระทบช่องแคบคู่
S1 , S2 ซึ่งทำหน้าที่เป็นเสมือนแหล่งกำเนิดอาพันธ์
เมื่อแสงเคลื่อนที่ผ่าน S1 , S2 เดินทางไปพบกัน จะทำให้เกิดการแทรกสอดกันในลักษณะทั้งเสริมและหักล้างกัน
โดยปรากฎภาพการแทรกสอดบนฉากเห็นเป็นแถบสว่างแถบมืด ดังรูป
ที่มา http://202.183.216.189/lesson/12_Light/content03.html
สมการการแทรกสอดของแสง
ถ้าให้ ช่องแคบ S1 และ S2 เป็นแหล่งกำเนิดแสงห่างกันเป็นระยะ d เมื่อแสงเดินทางจากช่องแคบมาถึงฉากด้วยระยะทางที่ต่างกัน เดินทางมาพบกันบนจุดเดียวกันคือจุด P จะได้ผลต่าง S1P กับ S2P เป็นดังสมการ
ถ้าให้ ช่องแคบ S1 และ S2 เป็นแหล่งกำเนิดแสงห่างกันเป็นระยะ d เมื่อแสงเดินทางจากช่องแคบมาถึงฉากด้วยระยะทางที่ต่างกัน เดินทางมาพบกันบนจุดเดียวกันคือจุด P จะได้ผลต่าง S1P กับ S2P เป็นดังสมการ
ที่มา http://www.rmutphysics.com/physics/oldfront/62/light1/ligh_21.htm
จากภาพการแทรกสอดของแสง พบว่า
S2P - S1P = d sinθ
เนื่องจากมุม เป็นมุมน้อย ๆ จะได้ = สามารถสรุปสมการที่ใช้คำนวณเกี่ยวกับสลิตคู่ ดังนี้
S2P - S1P = d sinθ
เนื่องจากมุม เป็นมุมน้อย ๆ จะได้ = สามารถสรุปสมการที่ใช้คำนวณเกี่ยวกับสลิตคู่ ดังนี้
1. เมื่อ S1 , S2 มีเฟสตรงกัน
การแทรกสอดแบบเสริมกัน (แนวกลางเป็นแนวปฏิบัพ A0)
S2P - S1P = nλ
d sinθ = nλ
d y/L = nλ
เมื่อ n = 0, 1, 2, 3, ....
การแทรกสอดแบบหักล้างกัน
S2P - S1P = (n-1/2)λ
d sinθ = (n-1/2)λ
d y/L = (n-1/2)λ
เมื่อ n = 1, 2, 3, ....
S2P - S1P = (n-1/2)λ
d sinθ = (n-1/2)λ
d y/L = (n-1/2)λ
เมื่อ n = 1, 2, 3, ....
2. เมื่อ S1 ,
S2 มีเฟสตรงข้ามกัน
การแทรกสอดแบบเสริมกัน
S2P - S1P = (n-1/2)λ
การแทรกสอดแบบเสริมกัน
S2P - S1P = (n-1/2)λ
d sinθ = (n-1/2)λ
d y/L = (n-1/2)λ
เมื่อ n = 1, 2, 3, ....
การแทรกสอดแบบหักล้างกัน (แนวกลางเป็นแนวบัพ N0)
S2P - S1P = nλ
d sinθ = nλ
d y/L = nλ
เมื่อ n = 0, 1, 2, 3, ....
d y/L = (n-1/2)λ
เมื่อ n = 1, 2, 3, ....
การแทรกสอดแบบหักล้างกัน (แนวกลางเป็นแนวบัพ N0)
S2P - S1P = nλ
d sinθ = nλ
d y/L = nλ
เมื่อ n = 0, 1, 2, 3, ....
การเลี้ยวเบนของแสง (Diffraction)
ถ้าเราวางวัตถุทึบแสงไว้ระหว่างฉากกับจุดกำเนิดแสงที่สว่างมากเราจหะเห็นขอบของเงาวัตถุนั้นบนฉากพร่ามัว
เป็นแถบมืดแถบสว่าง
สลับกันดังรูปที่
46 ที่เป็นเช่นนี้
เพราะแสงเกิดการเลี้ยวเบนทำให้เกิดการเลี้ยวเบนทำให้เกิดการแทรกสอดเป็นแถบมืดและแถบสว่าง
รูปที่ 46
การเลี้ยวเบนของแสงผ่านวัตถุรูปดาว
ที่มา
ftp://smc.ssk.ac.th/intranet/OBEC-DigitalContent/sci/sec4/phy/cai/Light/e-%20light/Light/Light13.htm
จากรูป 46
ถ้าให้แสงที่มีความสว่างมากผ่านวัตถุรูปดาวจะทำให้
เกิดแถบมืดและแถบสว่างที่ขอบในและขอบนอกของรูปดาวปรากฏบนฉาก เพราะคลื่นแสงที่เลี้ยวเบนจากขอบในและขอบนอกของรูปดาวเป็นเสมือนแหล่งกำเนิดแสงใหม่จึงเกิดการแทรกสอดกันเองทำให้เกิดแถบสว่างและแถบมืดทั้งขอบนอกและขอบในของวัตถุรูปดาว
รูปที่ 47 เงาของลูกทรงกลมดันเส้นผ่านศูนย์กลาง นิ้ว
ที่มา ftp://smc.ssk.ac.th/intranet/OBEC-DigitalContent/sci/sec4/phy/cai/Light/e-%20light/Light/Light13.htm
จากรูป
47 แสดงการเลี้ยวเบนของแสงโดยให้แสงที่มีความสว่างมากผ่านทรงกลมตัน
ทำให้เกิดเงาของทรงกลมปรากฏบนฉาก
และเกิดแถบมืดแถบสว่างที่ขอบเนื่องจากการเลี้ยวเบนของแสงที่จุดศูนย์กลางของเงาทรงกลมจะเป็นจุดสว่าง
เพราะแสงที่เลี้ยวเบนผ่านขอบของทรงกลมตันจะเป็นเสมือนแหล่งกำเนิดใหม่ตามหลักการของฮอยเกนส์จึงให้คลื่นแสงไปพบกัน
ที่จุดศูนย์กลางของเงาทรงกลมบนฉากทำให้เกิดการแทรกสอดกันในลักษณะเสริมจึงเห็นเป็นจุดสว่างขึ้น
การเลี้ยวเบนของแสงผ่านช่องเดี่ยว
เมื่อให้แสงเลี้ยวเบนผ่านช่องแคบเดียวจะได้แถบสว่างตรงกลางกว้างและมีความเข้มมากที่สุด
แถบสว่างข้างๆ ที่สลับแถบมืดจะมีความเข้มลดลง
ถ้าแสงที่ผ่านช่องแคบเป็นแสงสีขาวจะได้แถบสว่างเป็นสีขาวและแถบสว่างข้างๆ
จะเป็นสเปคตรัมโดยเรียงจากมีม่วงไปจนถึง
สีแดงแต่ถ้าเป็นแสงสีเดียวแถบสีสว่างข้างๆจะเป็นสีเดิม
แถบสว่างตรงกลางจะกว้างมากที่สุดและแถบสว่างข้างๆ จะลดลงครึ่งหนึ่งและมีขนาดกว้างเกือบเท่ากันหมด
ที่มา ftp://smc.ssk.ac.th
การหาตำแหน่งแถบมืดแถบสว่างบนฉาก
ให้คลื่นแสงสีเดียวความยาวคลื่น ส่องผ่านช่องเดียวที่มีความกว้าง d ทำให้เกิดแทรกสอด
เนื่องจากการเลี้ยวเบนบนฉากที่ห่าง จากช่องเดียว D ดังรูปที่
49
ที่มา ftp://smc.ssk.ac.th
จากรูปที่ 49 อาศัยหลักของฮอยเกนส์
ซึ่งกล่าวว่าทุกจุดบนหน้าคลื่นจะกระทำตัวเป็นแหล่งกำเนิดคลื่นใหม่
ถ้าเราให้ฉากอยู่ห่างจาก ช่องเดี่ยวมากๆ จะได้รังสีที่ออกจากช่องเดียวเป็นรังสีขนาน
และตำแหน่งมืดบนฉากคือตำแหน่งที่คลื่นหักล้างกัน
รูปที่
50 รังสีขนานจากช่องเดียว
ที่มา ftp://smc.ssk.ac.th
พิจารณารูป 50(a) ถ้า เราแบ่งครึ่งช่อง AB เราจะพบว่าถ้ารังสีออกจาก A และ C มีทางเดินต่างกัน λ /2 แล้วทุกๆ คู่ที่อยู่ใต้ A และ B ซึ่งห่างกัน d/2 เช่น D และ
E จะมีทางเดินต่างกัน λ /2
ด้วยเป็นผลทำให้คลื่นหักล้างกันหมด บนฉากจะได้ว่าแต่ละคู่มีเงื่อนไขดังนี้
d/2sinθ = λ/2
d/2sinθ = λ เป็นตำแหน่งบัพที่
1
ทำนองเดียวกันถ้าแบ่งตำแหน่งกว้าง
d
เป็น 4 ส่วนๆกัน ดังรูป 50(b) จะได้ทุกๆคู่
มีระยะห่างกัน d/4 และจะหักล้างกันเมื่อทางเดินต่างกัน λ /2 นั่นคือ
d/4sinθ = λ/2
dsinθ = λ/2 เป็นตำแหน่งบัพที่ 2
ถ้าแบ่งช่องกว้าง d เป็น 6,8,10,…. จะได้ d/2sinθ = λ/2 = 3λ,4 λ,5λ...
ตามลำดับ
ฉะนั้นจะได้สูตรการหาสมการหาตำแหน่งบัพ (node) ของการเลี้ยวเบนของแสงสว่างช่องเดียวดังนี้
dsinθ =n/2
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhyjFhCDFz5watPS3xnmaafPWg8EuQUnV5NsHAqnT8M9b5cWgu9TMPsJZJM03jf-1S1pvU7ClvrCpBaZpTe5avReBLMDe2LyZoxdheKQJZ7At5mug3L20M8qCJ4eNQj8E2KMbV56Fy3Pfr8/s1600/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E12.gif)
เงื่อนไขการเป็นปฏิบัพ (Antinode)
การพิจารณาหาตำแหน่งปฏิบัพโดยตรง
ไม่มีการพิจารณา ตำแหน่งปฏิบัพหาได้จากการเฉลี่ยตำแหน่งบัพ
สมการปฏิบัพคือ
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg9RLWIqrtmcYRWLKg9CKChyphenhyphengSIpFsRCCYT2_zCCL_E04vj4XXcBnvtNHScl6ZdoRr5S4nKAUuHGKnNq1YJpIbef_HFYNW3r8wvByPO8AZLlbju_0pIeJPCFxKtio6mSVfFqk11VoEl9l0V/s1600/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E13.gif)
ข้อควรจำ 1
. ในการพิจารณาการแทรกสอดของช่องคู่
สมการปฏิบัพ
2. ในการพิจารณาการเลี้ยวเบนผ่านช่องแคบเดี่ยว จะได้
สมการปฏิบัพ
สมการบัพ
โดย n เป็นตัวเลขแสดงลำดับที่ของบัพหรือปฏิบัพมีค่าตั้งแต่
1,2,3, . . .
d = ความกว้างของช่องสลิต (เมตร)
θ= มุมที่เบนไปจากแนวกลาง
n = จำนวนเต็มบวก ( 1, 2,
3, .... )
λ = ความยาวคลื่นแสง (เมตร)
x
= ระยะจากกึ่งกลางของแถบสว่างกลางถึง กึ่งกลางของแถบมืดที่ n ใด ๆ
L = ระยะจากช่องเดี่ยวถึงฉาก (เมตร)
เกรตติง (Grating)
เกรตติง คือ อุปกรณ์
ที่ใช้ในการตรวจสอบสเปรคของแสงและหาความยาวคลื่นแสง โดยอาศัย
คุณสมบัติการแทรกสอดของคลื่น ลักษณะของเกรตติง
จะเป็นแผ่นวัสดุบางที่ถูกแบ่งออกเป็นช่องขนานซึ่งอยู่ชิดกันมาก โดยทั่วไปใน 1
เซนติเมตร แบ่งออกเป็น 10,000 ช่อง
ซึ่งจำนวนช่องของเกรตติงอาจมี 100 ถึง 10,000 ช่อง/cm
ในการทดลอง ถ้าเราให้แสงจากดวงอาทิตย์หรือแสงขาวจากหลอดไฟส่องผ่านเกรตติง
เราจะเห็นสเปรคตรัมของแสงอาทิตย์หรือแสงขาวออกเป็น 7 สี
โดยเกรตติงถูกพัฒนามาจากสลิตคู่ด้วยการเพิ่มจำนวนช่วงทั้งสองให้มากขึ้น
มีผลทำให้ระยะห่างระหว่างช่องอยู่ใกล้กันมากขึ้นทำให้การเลี้ยวเบนของแสงมาก ขึ้น
ภาพตัวอย่างของแผ่นเกรตติง
ที่มา http://snooker-chalida.blogspot.com/2011/01/grating.html
แสง ความยาวคลื่นเดียวตกกระทบเกรตติง แสงบางส่วนจะเบนออกจากแนวไปปรากฏบนฉากเป็นแถบสว่างเล็กๆ
แถบสว่างนี้เกิดจากการแทรกสอดของแสงจากช่องอื่นๆทุกช่องที่เสมือนเป็นแหล่ง
กำเนิดแสงอาพันธ์ การหาตำแหน่งของแถบสว่างให้ถือว่าฉากอยู่ไกลจากเกรตติงมาก
จนแสงจากช่องแต่ละช่องของเกรตติงที่เคลื่นที่ไปที่ฉากสามารถประมาณได้ว่า
เป็นแสงขนาน
เมื่อ
มีแสงความถี่เดียว ความยาวคลื่น λ ผ่านเกรตติงในแนวตั้งฉากดังรูป
จะเกิดการเลี้ยวเบนและแทรกสอดเช่นเดียวกับกรณีสลิตคู่ (ช่องแคบคู่)
ที่มา http://utopia.cord.org/step_online/st1-4/st14eiv3.htm
ภาพแสดงการเลี้ยวเบนของแสงผ่านเกรตติง
ที่มา
http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?ID=75793
การเลี้ยวเบนของแสงผ่านเกรตติง
ถ้าเกรตติงมีระยะห่างระหว่างช่องเท่ากับ
d ที่ตำแหน่ง P เป็นตำแหน่งบนแถบสว่าง ระยะทางจากช่องแต่ละช่องของเกรตติงถึงจุด P จะไม่เท่ากัน ช่องแต่ละช่องจะเป็นเสมือนแหล่งกำเนิดแสงอาพันธ์ ที่ทำให้คลื่นแสงผ่านออกมามีเฟสตรงกัน
การหาตำแหน่งของแถบมืดและแถบสว่างใช้หลักการเดียวกันกับการแทรกสอดของสลิต คู่
จึงได้ว่า
ตำแหน่งแถบสว่างใดๆ (A) บนฉาก (แนวกลางเป็นแนวปฏิบัพ A0)
d sinθ = nλ
d x/L = nλ
เมื่อ n = 0, 1, 2, 3, ....
d sinθ = nλ
d x/L = nλ
เมื่อ n = 0, 1, 2, 3, ....
ตำแหน่งแถบมืดใดๆ
(N) บนฉาก
d sinθ = (n-1/2)λ
d x/L = (n-1/2)λ
เมื่อ n = 1, 2, 3, ....
x แทนเป็นระยะจากแถบสว่างตรงกลางถึงจุด P
L แทนระยะห่างจากเกรตติงถึงฉากรับ
λ แทนความยาวของคลื่นแสง
d แทนระยะห่างระหว่างช่องของเกรตติง
การหาระยะระหว่างช่องของเกรตติง (d) เราสามารถหาระยะระหว่างช่องของเกรตติง ได้โดยใช้การเทียบอัตราส่วน
เมื่อให้ N แทนจำนวนช่องของเกรตติงใน 1 m.
d แทนระยะห่างระหว่างช่องของเกรตติง
d sinθ = (n-1/2)λ
d x/L = (n-1/2)λ
เมื่อ n = 1, 2, 3, ....
x แทนเป็นระยะจากแถบสว่างตรงกลางถึงจุด P
L แทนระยะห่างจากเกรตติงถึงฉากรับ
λ แทนความยาวของคลื่นแสง
d แทนระยะห่างระหว่างช่องของเกรตติง
การหาระยะระหว่างช่องของเกรตติง (d) เราสามารถหาระยะระหว่างช่องของเกรตติง ได้โดยใช้การเทียบอัตราส่วน
เมื่อให้ N แทนจำนวนช่องของเกรตติงใน 1 m.
d แทนระยะห่างระหว่างช่องของเกรตติง
1. ใช้แยกแสงสีต่างๆ ที่เคลื่อนที่รวมกัน เช่น การหาสเปกตรัมของแสงขาว
2. ใช้หาความยาวคลื่นของแสงสีต่างๆ โดยแสงสีต่างๆ จะมีความยาวคลื่นแตกต่างกัน ทำให้เกิดการเลี้ยวเบนเมื่อผ่านเกรตติงได้แตกต่างกัน โดยแสงสีม่วงเลี้ยวเบนได้น้อยที่สุด ส่วนแสงสีแดงมีความยาวคลื่นมากที่สุดจะเลี้ยวเบนได้มากที่สุด
2. ใช้หาความยาวคลื่นของแสงสีต่างๆ โดยแสงสีต่างๆ จะมีความยาวคลื่นแตกต่างกัน ทำให้เกิดการเลี้ยวเบนเมื่อผ่านเกรตติงได้แตกต่างกัน โดยแสงสีม่วงเลี้ยวเบนได้น้อยที่สุด ส่วนแสงสีแดงมีความยาวคลื่นมากที่สุดจะเลี้ยวเบนได้มากที่สุด
การกระเจิงของแสง
สีของท้องฟ้าเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา
ตอนกลางวันท้องฟ้าเป็นสีฟ้า ส่วนตอนเช้าและตอนเย็นท้องฟ้าเป็นสีส้มแดง
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะ “การกระเจิงของแสง” (Scattering of light) แสงของดวงอาทิตย์ประกอบด้วยแสงสีต่างๆ
ซึ่งมีขนาดความยาวคลื่นไม่เท่ากัน เมื่อรังสีจากดวงอาทิตย์ตกกระทบโมเลกุลของอากาศ
จะเกิดการกระเจิงของแสง คล้ายกับคลื่นน้ำเคลื่อนที่มากระแทกเขื่อน ดังภาพที่ 1
ถ้าคลื่นมีขนาดเล็กกว่าเขื่อน (λ < d) คลื่นจะกระเจิงหรือสะท้อนกลับ
แต่ถ้าคลื่นมีขนาดใหญ่กว่าเขื่อน (λ > d) คลื่นก็จะเคลื่อนที่ข้ามเขื่อนไปได้ ดังภาพที่ 2
ภาพที่ 1 การกระเจิงของแสง
ที่มา http://www.lesa.biz//
• ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการกระเจิงของแสง
• ขนาดความยาวคลื่น: แสงสีน้ำเงินมีความยาวคลื่นสั้น แสงสีแดงมีความยาวคลื่นมากกว่า แสงคลื่นสั้นเกิดการกระเจิงได้ดีกว่าแสงคลื่นยาว
ขนาดของสิ่งกีดขวาง: โมเลกุลของแก๊สในบรรยากาศมีขนาดเล็ก
ส่วนโมเลกุลของไอน้ำและฝุ่นที่แขวนลอยในบรรยากาศมีขนาดใหญ่ โมเลกุลขนาดใหญ่เป็นสิ่งกีดขวางการเดินทางของแสงความยาวคลื่นสั้น
ภาพที่ 2
คลื่นแสงเคลื่อนที่ผ่านโมเลกุลของกากาศ
http://www.lesa.biz/
• มุมที่แสงตกกระทบกับบรรยากาศ: แสงอาทิตย์เวลาเที่ยงทำมุมชันกับพื้นโลก
แสงเดินทางผ่านมวลอากาศเป็นระยะทางสั้น แสงเดินทางผ่านไม่ยาก
ส่วนในตอนเช้าและตอนเย็นแสงอาทิตย์ทำมุมลาดกับพื้นโลก
แสงเดินทางผ่านมวลอากาศเป็นระยะทางยาว ทำให้แสงเดินทางผ่านได้ยาก
• ปริมาณสารแขวนลอยในอากาศ: ในช่วงเวลาบ่ายและเย็น
อากาศและพื้นผิวโลกมีอุณหภูมิสูง มีฝุ่นละอองลอยอยู่ในอากาศมาก
เป็นอุปสรรคขวางกั้นทางเดินของแสง
ท้องฟ้ากลางวัน
เวลากลางวันแสงอาทิตย์ทำมุมชันกับพื้นโลก แสงเดินทางผ่านบรรยากาศเป็นระยะทางสั้น
อุปสรรคที่กีดขวางมีน้อย แสงสีม่วง คราม และน้ำเงิน
มีขนาดของคลื่นเล็กกว่าโมเลกุลของอากาศ จึงกระเจิงไปบนท้องฟ้าทุกทิศทาง
เราจึงมองเห็นท้องฟ้าเป็นสีฟ้า และเห็นดวงอาทิตย์เป็นสีขาว
เนื่องจากแสงทุกสีรวมกันมีความเข้มสูงมาก ในบริเวณที่มีมลภาวะทางอากาศน้อย เช่น
ริมทะเลหรือในชนบท หรือในฤดูหนาวซึ่งมีความกดอากาศสูงทำให้ฝุ่นลอยขึ้นไปไม่ได้
เราจะเห็นท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้ม ส่วนในบริเวณที่มีมลภาวะทางอากาศสูง
หรือในฤดูร้อนซึ่งอากาศร้อนยกตัวพาให้สารแขวนลอยขึ้นไปลอยอยู่ในอากาศ คลื่นแสงสีเขียวและคลื่นแสงสีเหลืองจะกระเจิงด้วย
เราจึงมองเห็นท้องฟ้าเป็นสีฟ้าอ่อน
ภาพที่ 3
ท้องฟ้าเวลากลางวัน
ที่มา http://www.lesa.biz/earth/atmosphere/phenomenon/scattering
ท้องฟ้ารุ่งเช้าและพลบเย็น
เวลารุ่งเช้าและพลบค่ำ แสงอาทิตย์ทำมุมลาดขนานกับพื้นโลก
แสงเดินทางผ่านมวลอากาศเป็นระยะทางยาว อุปสรรคที่ขวางกั้นมีมาก แสงสีม่วง คราม
และน้ำเงิน มีความยาวคลื่นสั้นไม่สามารถเดินทางผ่านโมเลกุลอากาศไปได้
จึงกระเจิงไปทั่วท้องฟ้า แต่แสงสีเหลือง ส้ม และแดง มีความยาวคลื่นมาก
สามารถทะลุผ่านโมเลกุลของอากาศไปได้ ทำให้เรามองเห็นดวงอาทิตย์เป็นสีส้ม
และมองเห็นท้องฟ้าในบริเวณทิศตะวันตกเป็นสีเหลืองส้ม ถ้าวันใดมีอากาศร้อน ทำให้มีฝุ่นมากเป็นพิเศษ ดวงอาทิตย์จะมีสีแดง แต่ถ้าวันใดมีฝุ่นน้อยดวงอาทิตย์ก็จะเป็นสีเหลือง แต่ถ้าเย็นวันใดฟ้าใสไม่มีฝุ่นเลย เราก็จะมองเห็นดวงอาทิตย์เป็นสีสว่างจนแสบตาเช่นเวลากลางวัน
ทั้งนี้เนื่องจากแสงทุกสีมีความเข้มสูง จึงมองเห็นรวมกันเป็นสีขาว
ภาพที่ 4 ท้องฟ้ายามรุ่งเช้าและพลบค่ำ
ที่มา http://www.lesa.biz/earth/atmosphere/phenomenon/scattering
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น